การปรับปรุงคุณภาพไม้
ไม้แปรรูปและไม้ที่เราเห็นตามตลาดหรือร้านขายไม้นั้น ส่วนใหญ่ก็จะผ่านการแปรรูปมาเรียบร้อยแล้ว
สาเหตุที่ต้องนำไม้มาผ่านกระบวนการแปรรูปและกระบวนการปรับปรุงคุณภาพไม้ ก่อนที่จะมาเป็นไม้สำเร็จรูปอย่างที่เราซื้อมาใช้งานกันนั้น
เพื่อที่จะให้ได้ไม้ที่มีความแข็งแรงทนทาน สามารถที่จะนำมาใช้สร้างบ้านที่แข็งแรงยาวนาน หลายชั่วอายุคน
ดังนั้นก่อนจะนำไม้ที่ตัดมาใหม่ๆ ไปใช้งานนั้นจำเป็นที่ต้องผ่านกระบวนการปรับปรุงคุณภาพไม้ ทั้งหมด 3 ขั้นตอนหลักๆ เพื่อให้ไม้มีความแข็งแรง
1. การอบแห้ง
ไม้ทุกชนิดที่มีการนำมาใช้งาน ไม่ว่าจะในรูปแบบไหนก็ตาม ควรผ่านกระบวนการอบแห้งเสียก่อน เพื่อลดความชื้นที่มีอยู่ในเนื้อไม้ ที่จะทำให้เกิดการหดหรือขยายตัวของเนื้อไม้
ซึ่งจะทำให้ไม้นั้นเกิดการโก่งตัว บิดตัว สร้างความเสียหายให้แก้โครงสร้างไม้ได้
วิธีการอบแห้งนั้นมีให้เห็นอยูทั่วๆไป 2 แบบ คือ
แบบแอร์ดราย (Air Dry)
เรียกแบบชาวบ้านๆ ก็คือ นำมาผึ่งลม เป็นการทำให้ไม้แห้งด้วยการตากผึ่งลมโดยที่ไม่ตากแดด ปล่อยให้ความชื้นในเนื้อไม้ค่อยๆ ระเหยไปเอง จนความชื้นในเนื้อไม้เหลือ 15-16%
สำหรับบ้านเรากำหนดความชื้นไว้ในเนื้อไม้ที่ประมาณ 10-12%
สำหรับวิธีนี้ มีข้อเสียที่จะต้องผึ่งไม้เอาไว้เป็นปี เลยทีเดียวกว่าไม้จะแห้ง แต่ข้อดีคือวิธีนี้จะช่วยให้ไม้ไม่เกิดการบิดตัวเลยเพราะเป็นการค่อยๆปล่อยให้ไม้แห้งเองตามธรรมชาติ
แต่ถ้าไม่ต้องการรอนานก็สามาถใช้วิธีการอบได้ซึ่งใช้เวลาเพียง 1-2 วัน แต่ข้อเสียของการอบ ก็คือ ไม้อาจจะเกิดการบิดตัวหรือเสียรูป เนื่องจากเป็นการไปเร่งเอาน้ำออกจากเนื้อไม้
อีกทางเลือกคือการผึ่งลมไว้สักครึ่งปี แล้วค่อยเอาไปอบ ก็จะเกิดการบิดตัวที่น้อยลง แต่วิธีนี้ก็ไม่นิยมเนื่องจากยังคงรอนานเช่นกัน
การอบความร้อนด้วยระบบสูญญากาศ
การอบด้วยความร้อนวิธีนี้ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยดึงความชื้นออกมาจากเนื้อไม้ เพื่อไม่ให้ไม้เกิดการโก่งตัว บิดงอ เ
ป็นการใช้ความร้อนเร่งทำให้ความชื้นในเนื้อไม้แห้งตามมาตรฐานความชื้นที่กำหนดไว้
โดยวิธีการคือ นำไม้ไปอบด้วยความร้อนที่กำหนดประมาณ 100 องศาเซลเซียส ด้วยระบบสูญญากาศ คือ การดูดอากาศออกจนกระทั่งอากาศภายในตู้ที่ใช้อบไม้
รวมถึงอากาศจากในเนื้อไม้ออกจนหมด สิ่งมีชีวิตต่างๆก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ เป็นการทำลายมดหรือแมลงที่อาจจะมากับไม้ไปจนหมด
การอบด้วยความร้อนแบบพิเศษ (Heat Treatment)
กระบวนการพัฒนาคุณสมบัติของเนื้อไม้นี้เป็นกระบวนการพิเศษที่ทำให้ไม้เนื้อแข็งปานกลางหรือไม้เนื้ออ่อนสามารถนำไปใช้งานภายนอกได้
ที่มาของเทคโนโลยีนี้ได้มาจากการที่ในหลายประเทศนั้นไม่มีไม้เนื้อแข็งใช้ จึงจำเป็นที่จะต้องนำไม้เนื้ออ่อนที่มีปริมาณมากในประเทศ มาใช้ทดแทน
ซึ่งกระบวนการนี้สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของไม้เนื้ออ่อนให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และ สามารถนำมาใช้งานภายนอกที่ต้องตากแดด ตากฝนได้
โดยไม้ทุกชนิดสามารถนำมาผ่านกระบวนการนี้ได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการในการใช้งานแต่ละประเภท
คุณสมบัติของไม้ที่ผ่านกระบวนการ Heat Treatment
กระบวนการนี้จะเป็นการนำไม้มาอบด้วยความร้อนสูง ประมาณ 210 องศาเซลเซียส ด้วยระยะเวลาประมาณ 4 ชม.
การนำไม้มาผ่านกระบวนการนี้จะทำให้เนื้อไม้เปลี่ยนสีเป็นน้ำตาลไหม้ แต่สีผิวของไม้ที่ได้จะค่อนข้างสม่ำเสมอ เนื่องจากเป็นการอบด้วยความร้อนสูง
จึงไม่สามารถนำไม้ไปทำสีอื่นได้มากนอกจากจะทำให้ไม้เป็นสีเข้มกว่าเดิม
ตัวอย่างสีไม้ที่เปลี่ยนแปลงจากกระบวนการ heat treatment
การลงทุนที่จะใช้ไม้ที่ผ่านกระบวนการนี้จะมีราคาที่สูงกว่า แต่มีข้อดีคือ ไม้ที่ได้จะปลอดภัยไร้สารเคมี เพราะไม้ไม่ได้ผ่านกระบวนการอัดน้ำยาเลย
และเนื้อไม้ก็จะไม่โก่งงอ เมื่อนำไปใช้งาน เนื่องจากโครงสร้างไม้ แป้งและน้ำตาลเซลลูโลสในเนื้อไม้หายไปจากการอบด้วยความร้อนสูง
ผนังเซลล์แตกออกช่วยให้ไม้มีระยะเวลาในการผุพังช้าลง เซลล์ในเนื้อไม้จะไม่สามารถอุ้มน้ำไว้ได้ ทำให้ไม้นั้นเมื่อโดนความชื้นหรือน้ำ ก็จะไม่เกิดการอมน้ำ
ที่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม้โก่งงอ บิดตัวของไม้ ทำให้ไม้มีอายุการใช้งานยาวนาน